ส่องเทรนด์ 'เทคโนฯ เด่น' ติดสปีดธุรกิจ 'โลจิสติกส์'


ขนส่งและโลจิสติกส์เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันอย่างดุเดือด วันนี้จึงได้เห็นการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นหุ่นยนต์ ระบบอัตโนมัติ ปัญญาประดิษฐ์ รวมถึงโมบายแอพพลิเคชั่นแบบเรียลไทม์ มาช่วยยกระดับประสิทธิภาพการบริหารจัดการ

วรินทร สีสุขดี ผู้อำนวยการส่วนผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ บริษัท จีไอเอส จำกัด กล่าวว่า สิ่งสำคัญที่จำเป็นต้องตระหนักเพื่อรับความเปลี่ยนแปลง โดยเรียกได้ว่าเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์คือ การบริหารต้นทุนให้ต่ำ ทำให้เร็วกว่าเดิม พร้อมเพิ่มการลงทุนเทคโนโลยี

สำหรับแง่ของผู้บริโภคสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องคำนึงถึงคือ ความเร็วในการจัดส่งสินค้า การส่งมอบสินค้าตรงเวลา สินค้าอยู่ในสภาพสมบูรณ์ พนักงานให้บริการอย่างมืออาชีพ และผู้รับสินค้ามีความพึงพอใจ 

“ไม่ใช่แค่การใช้เทคโนโลยี แต่คือการลงทุนเทคโนโลยีด้วยการอ่านเกมให้ขาด ลงทุนให้ถูกจุด เพื่อครองชัยชนะบนสมรภูมิยุคดิจิทัลดิสรัปชั่น”

ก้าวสู่’ดิจิทัล’เต็มรูปแบบ

สำหรับเทคโนโลยีที่จะเข้ามาท้าทายโลกของการขนส่งและโลจิสติกส์ในปี 2563 มีอยู่ 5 เทรนด์ ประกอบด้วย 1.ดิจิทัลโลจิสติกส์(Digital logistics)การบริหารงานโลจิสติกส์ด้วยข้อมูลดิจิทัล โดยมีข้อมูลเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ผู้ประกอบการสามารถเอาชนะคู่แข่งได้

“การปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานเข้าสู่ระบบดิจิทัลเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้อีกต่อไป เพราะดิจิทัลมีผลต่อการทำงานแบบ day-to-day ในธุรกิจ ข้อมูลในระบบดิจิทัลช่วยสนับสนุนการตัดสินใจได้ดีและเร็วขึ้น ทำให้มองเห็นซัพพลายเชนทั้งระบบ และสามารถควบคุมการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วในทุกวันนี้ได้ง่ายขึ้น”

 ขณะที่ 2.การจัดการทัศนวิสัยในห่วงโซ่อุปทานแบบทันที(Real time supply chain visibility) เจ้าของธุรกิจจำเป็นต้องรู้ข้อมูลแบบเรียลไทม์ ไม่ว่าสินค้าจะอยู่ที่ใด จำนวนเท่าไร เคลื่อนย้ายเมื่อใด ตลอดจนการใช้เซ็นเซอร์ไอโอทีเพื่อการติดตามการขนส่ง 

158142228839

ทั้งนี้ เช่น เส้นทาง จุดส่งสินค้า เงื่อนไขพิเศษต่างๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้เร็วที่สุดและควบคุมค่าใช้จ่ายภายในธุรกิจ การเชื่อมโยงข้อมูลเหล่านี้ในกระบวนการธุรกิจจะช่วยสนับสนุนการตัดสินใจและการคาดการณ์อนาคต เพื่อปรับเปลี่ยนการจัดการออเดอร์และซัพพลายเชนให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

3.การรวบรวมสินค้าจากหลายบริษัท(Consolidation of goods) เป็นการรวบรวมสินค้าจากหลายบริษัทในการบรรทุกจัดส่งไม่ว่าทางบก ทางน้ำ หรือทางอากาศ เพื่อให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในการขนส่ง และช่วยให้กระบวนการโลจิสติกส์มีเสถียรภาพอย่างยั่งยืน

เธอกล่าวว่า ปัจจัยหลักคือขนาดของตลาดขนส่งที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับขนาดของการบรรทุกจัดส่ง เมื่อทุกสิ่งสามารถสั่งซื้อได้แบบออนไลน์ ส่งผลให้เกิดการเพิ่มขึ้นของจำนวนสินค้าที่จะถูกจัดส่งจำนวนมาก ขนาดของการโหลดบรรทุกการจัดส่งของบริษัทจึงเล็กลงเพื่อส่งออกสินค้าได้รวดเร็วมากขึ้น

 ดึง ’เอไอ’ เพิ่มขีดความสามารถ

อีกเทรนด์ที่น่าสนใจ 4.ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial and Augmented Intelligence AI) โดยขณะนี้กำลังจะมาแทนที่งานบางส่วนของมนุษย์ที่ต้องทำซ้ำๆ ซึ่งทำให้งานที่ออกมาเป็นระเบียบและวัดผลได้มากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ยังมีงานบางประเภทที่จำเป็นต้องใช้ทักษะของมนุษย์ จึงเกิดเทรนด์ใหม่ที่เรียกว่า “Augmented Intelligence” หรือ “ปัญญาเสริม” ซึ่งเป็นแนวคิดที่ว่า “มนุษย์” กับ “เอไอ” สามารถทำงานร่วมกันได้ 

โดยการเลียนแบบความฉลาดของมนุษย์และขยายขีดความสามารถทางปัญญาของมนุษย์ลงในซอฟต์แวร์ เช่น หน่วยความจำการจัดลำดับ การรับรู้ การคาดการณ์ การแก้ปัญหา ไปจนถึงการตัดสินใจ เพื่อให้สามารถเข้าใจความต้องการของมนุษย์ได้ง่ายขึ้นและเพิ่มความสามารถในการเชื่อมโยงข้อมูลต่างๆ เข้าด้วยกัน

กรณีตัวอย่างเช่น การวางแผนงานโลจิสติกส์สามารถใส่ข้อมูลที่มนุษย์เป็นผู้สร้าง เช่น แผนงาน ความรับผิดชอบของส่วนงานการบริการลูกค้า ความยืดหยุ่นในการทำงาน ซึ่งต้องใช้ประสบการณ์ ความรู้สึกหรือสามัญสำนึก และอื่นๆ ผสานเข้ากับการวิเคราะห์ประเมินผลโดยเอไอ ที่สามารถทำนายและทำความเข้าใจสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ช่วยวิเคราะห์ผลลัพธ์ของการตัดสินใจจากการเรียนรู้ข้อมูลในอดีต อะไรจะเกิดขึ้นหากเลือกเดินในแต่ละเส้นทาง ทำให้มีวิธีรับมือกับเหตุการณ์เหล่านั้นได้

สุดท้าย 5.เทคโนโลยีแพลตฟอร์มสำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลความเสี่ยงและจัดการข้อมูลให้เป็นหนึ่งเดียว(Data Standardization and Predictive analytics Platform) ซึ่งเป็นเครื่องมือที่จะช่วยรวบรวมข้อมูลโลจิสติกส์ขนาดใหญ่ในโลกดิจิทัล ขณะเดียวกันสามารถเห็นรูปแบบของความเสี่ยง รวมถึงโอกาสที่อาจเกิดขึ้นด้วยข้อมูลที่มีในระบบ เมื่อใส่เงื่อนไขเฉพาะลงไปทำให้ได้ข้อมูลพยากรณ์ล่วงหน้า เช่น อุบัติเหตุ การใช้น้ำมัน การซ่อมบำรุงรถ การใช้จ่าย เส้นทางขนส่งและจุดจอดรถที่เหมาะสม

“สิ่งที่ธุรกิจโลจิสติกส์ควรทำคือ การศึกษากระบวนการทำงานของโซลูชั่นแพลตฟอร์มและนำมาใช้กับธุรกิจเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการงานขนส่ง การใช้เชื้อเพลิง รวมถึงเพิ่มสมรรถนะการใช้รถขนส่งได้มากขึ้น”

ทีมา: https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/865885

ขนส่งและโลจิสติกส์เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันอย่างดุเดือด วันนี้จึงได้เห็นการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นหุ่นยนต์ ระบบอัตโนมัติ ปัญญาประดิษฐ์ รวมถึงโมบายแอพพลิเคชั่นแบบเรียลไทม์ มาช่วยยกระดับประสิทธิภาพการบริหารจัดการ

วรินทร สีสุขดี ผู้อำนวยการส่วนผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ บริษัท จีไอเอส จำกัด กล่าวว่า สิ่งสำคัญที่จำเป็นต้องตระหนักเพื่อรับความเปลี่ยนแปลง โดยเรียกได้ว่าเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์คือ การบริหารต้นทุนให้ต่ำ ทำให้เร็วกว่าเดิม พร้อมเพิ่มการลงทุนเทคโนโลยี

สำหรับแง่ของผู้บริโภคสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องคำนึงถึงคือ ความเร็วในการจัดส่งสินค้า การส่งมอบสินค้าตรงเวลา สินค้าอยู่ในสภาพสมบูรณ์ พนักงานให้บริการอย่างมืออาชีพ และผู้รับสินค้ามีความพึงพอใจ 

“ไม่ใช่แค่การใช้เทคโนโลยี แต่คือการลงทุนเทคโนโลยีด้วยการอ่านเกมให้ขาด ลงทุนให้ถูกจุด เพื่อครองชัยชนะบนสมรภูมิยุคดิจิทัลดิสรัปชั่น”

ก้าวสู่’ดิจิทัล’เต็มรูปแบบ

สำหรับเทคโนโลยีที่จะเข้ามาท้าทายโลกของการขนส่งและโลจิสติกส์ในปี 2563 มีอยู่ 5 เทรนด์ ประกอบด้วย 1.ดิจิทัลโลจิสติกส์(Digital logistics)การบริหารงานโลจิสติกส์ด้วยข้อมูลดิจิทัล โดยมีข้อมูลเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ผู้ประกอบการสามารถเอาชนะคู่แข่งได้

“การปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานเข้าสู่ระบบดิจิทัลเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้อีกต่อไป เพราะดิจิทัลมีผลต่อการทำงานแบบ day-to-day ในธุรกิจ ข้อมูลในระบบดิจิทัลช่วยสนับสนุนการตัดสินใจได้ดีและเร็วขึ้น ทำให้มองเห็นซัพพลายเชนทั้งระบบ และสามารถควบคุมการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วในทุกวันนี้ได้ง่ายขึ้น”

 ขณะที่ 2.การจัดการทัศนวิสัยในห่วงโซ่อุปทานแบบทันที(Real time supply chain visibility) เจ้าของธุรกิจจำเป็นต้องรู้ข้อมูลแบบเรียลไทม์ ไม่ว่าสินค้าจะอยู่ที่ใด จำนวนเท่าไร เคลื่อนย้ายเมื่อใด ตลอดจนการใช้เซ็นเซอร์ไอโอทีเพื่อการติดตามการขนส่ง 

158142228839

ทั้งนี้ เช่น เส้นทาง จุดส่งสินค้า เงื่อนไขพิเศษต่างๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้เร็วที่สุดและควบคุมค่าใช้จ่ายภายในธุรกิจ การเชื่อมโยงข้อมูลเหล่านี้ในกระบวนการธุรกิจจะช่วยสนับสนุนการตัดสินใจและการคาดการณ์อนาคต เพื่อปรับเปลี่ยนการจัดการออเดอร์และซัพพลายเชนให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

3.การรวบรวมสินค้าจากหลายบริษัท(Consolidation of goods) เป็นการรวบรวมสินค้าจากหลายบริษัทในการบรรทุกจัดส่งไม่ว่าทางบก ทางน้ำ หรือทางอากาศ เพื่อให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในการขนส่ง และช่วยให้กระบวนการโลจิสติกส์มีเสถียรภาพอย่างยั่งยืน

เธอกล่าวว่า ปัจจัยหลักคือขนาดของตลาดขนส่งที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับขนาดของการบรรทุกจัดส่ง เมื่อทุกสิ่งสามารถสั่งซื้อได้แบบออนไลน์ ส่งผลให้เกิดการเพิ่มขึ้นของจำนวนสินค้าที่จะถูกจัดส่งจำนวนมาก ขนาดของการโหลดบรรทุกการจัดส่งของบริษัทจึงเล็กลงเพื่อส่งออกสินค้าได้รวดเร็วมากขึ้น

 ดึง ’เอไอ’ เพิ่มขีดความสามารถ

อีกเทรนด์ที่น่าสนใจ 4.ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial and Augmented Intelligence AI) โดยขณะนี้กำลังจะมาแทนที่งานบางส่วนของมนุษย์ที่ต้องทำซ้ำๆ ซึ่งทำให้งานที่ออกมาเป็นระเบียบและวัดผลได้มากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ยังมีงานบางประเภทที่จำเป็นต้องใช้ทักษะของมนุษย์ จึงเกิดเทรนด์ใหม่ที่เรียกว่า “Augmented Intelligence” หรือ “ปัญญาเสริม” ซึ่งเป็นแนวคิดที่ว่า “มนุษย์” กับ “เอไอ” สามารถทำงานร่วมกันได้ 

โดยการเลียนแบบความฉลาดของมนุษย์และขยายขีดความสามารถทางปัญญาของมนุษย์ลงในซอฟต์แวร์ เช่น หน่วยความจำการจัดลำดับ การรับรู้ การคาดการณ์ การแก้ปัญหา ไปจนถึงการตัดสินใจ เพื่อให้สามารถเข้าใจความต้องการของมนุษย์ได้ง่ายขึ้นและเพิ่มความสามารถในการเชื่อมโยงข้อมูลต่างๆ เข้าด้วยกัน

กรณีตัวอย่างเช่น การวางแผนงานโลจิสติกส์สามารถใส่ข้อมูลที่มนุษย์เป็นผู้สร้าง เช่น แผนงาน ความรับผิดชอบของส่วนงานการบริการลูกค้า ความยืดหยุ่นในการทำงาน ซึ่งต้องใช้ประสบการณ์ ความรู้สึกหรือสามัญสำนึก และอื่นๆ ผสานเข้ากับการวิเคราะห์ประเมินผลโดยเอไอ ที่สามารถทำนายและทำความเข้าใจสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ช่วยวิเคราะห์ผลลัพธ์ของการตัดสินใจจากการเรียนรู้ข้อมูลในอดีต อะไรจะเกิดขึ้นหากเลือกเดินในแต่ละเส้นทาง ทำให้มีวิธีรับมือกับเหตุการณ์เหล่านั้นได้

สุดท้าย 5.เทคโนโลยีแพลตฟอร์มสำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลความเสี่ยงและจัดการข้อมูลให้เป็นหนึ่งเดียว(Data Standardization and Predictive analytics Platform) ซึ่งเป็นเครื่องมือที่จะช่วยรวบรวมข้อมูลโลจิสติกส์ขนาดใหญ่ในโลกดิจิทัล ขณะเดียวกันสามารถเห็นรูปแบบของความเสี่ยง รวมถึงโอกาสที่อาจเกิดขึ้นด้วยข้อมูลที่มีในระบบ เมื่อใส่เงื่อนไขเฉพาะลงไปทำให้ได้ข้อมูลพยากรณ์ล่วงหน้า เช่น อุบัติเหตุ การใช้น้ำมัน การซ่อมบำรุงรถ การใช้จ่าย เส้นทางขนส่งและจุดจอดรถที่เหมาะสม

“สิ่งที่ธุรกิจโลจิสติกส์ควรทำคือ การศึกษากระบวนการทำงานของโซลูชั่นแพลตฟอร์มและนำมาใช้กับธุรกิจเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการงานขนส่ง การใช้เชื้อเพลิง รวมถึงเพิ่มสมรรถนะการใช้รถขนส่งได้มากขึ้น”

ทีมา: https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/865885